ถ้าหากจะถามว่า เทศกาลอะไรที่สำคัญที่สุคในศาสนาคริสต์ หลายท่านก็คงตอบทันทีว่า "เทศกาลคริสต์มาส" เพราะเห็นว่ามีงานเฉลิมฉลองกันใหญ่โตแทบทุกปี และกลายเป็นประเพณีสากลไปแล้ว แต่ความจริงแล้ว เทศกาลที่สำคัญที่สุดในศาสนาคริสต์ก็คือ "เทศกาลปัสกา" หรือ "เทศกาลอีสเตอร์" ต่างหาก
ปัสคา หรือ ปัสกา ตรงกับภาษาฮีบรู ว่า "Paschal" และภาษาอังกฤษใช้คำว่า "passover" แปลว่า "ผ่านเว้น" เป็นเทศกาลที่ชาวยิวระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงนำพวกเขาออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ ในช่วงประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล และพาเขาจากอียิปต์ไปสู่แผ่นดินใหม่ พระเยซูได้สิ้นพระชนม์ในตอนบ่ายวันศุกร์ก่อนที่จะฉลองวันปัสกาของชาวยิวหนึ่งวัน และกลับคืนชีพในวันอาทิตย์วันแรกของสัปดาห์
เป็นการเปิดยุคใหม่สำหรับมนุษย์ทุกคน และเป็นการแสดงว่า พระเยซู เป็นผู้นำของ “มนุษย์ใหม่” ชาวยิวยังฉลองวันปัสการะลึกถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นที่อียิปต์เมื่อสามพันกว่าปีแล้ว และกำลังรอคอยพระเมสสิยาห์อยู่ สำหรับเราคริสตชน พระเยซูเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้กอบกู้เรา เป็นจุดหมายปลายทางแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์ชาติโดยในคืนก่อนที่ฟาโรห์จะยอมปล่อยชาวอิสราเอลให้ออกเดินทาง พระเจ้าทรงสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เกิดภัยพิบัติประการที่ 10 หลังจากที่ฟาโรห์ปฏิเสธที่ปล่อยพวกอิสราเอล ตามคำบัญชาของพระเจ้ามาแล้ว 9 ครั้ง
ภัยพิบัติประการที่ 10 คือ ทูตสวรรค์จะเข้าไปในทุกครัวเรือนของชาวอียิปต์ เพื่อปลิดชีพของบุตรหัวปีของทุกครอบครัว ยกเว้นแต่ครอบครัวที่เชื่อฟังพระเจ้า โดยการนำเอาเลือดของลูกมาทาไว้ที่ประตูบ้านของตน "บ้านใด ได้กระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชา ทูตสวรรค์ก็จะไม่เข้าไปในบ้าน แต่จะ "ผ่าน เว้นไป" (Passover) และบุตรหัวปีของครอบครัวนั้นก็จะรอดตาย !"
พิธีปัสกาในพระคัมภีร์
พิธีปัสกา เป็นพิธีที่ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในหนังสืออพยพ ซึ่งระบุว่า พระเจ้าทรงกำหนดให้ชาวอิสราเอลถือปฏิบัติทุกปี เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการ ณ์เมื่อพระองค์ทรงนำอิสราเอลให้หลุดพ้นจากความเป็นทาสของอียิปต์ เป็นไทแก่ตนเอง
ปัสกา เป็นเหมือนเครื่องหมายเพื่อบอกถึง "ชนชาติอิสราเอล" แท้ เนื่อง จากในหนังสืออพยพ เมื่ออิสราเอลเป็นทาสอยู่ในอียิปต์นั้น พระเจ้าทรงตั้งพิธีปัสกาขึ้น เพื่อเป็นเครื่องหมายสำหรับพระเจ้าในภัยพิบัติครั้งสุดท้าย ที่พระเจ้าจะทรงพรากบุตรหัวปีแห่งอียิปต์ไป แต่จะทรงผ่าน (passover หรือ skip over) บ้านใดก็ตามที่ทาเลือดแกะปัสกา อันเป็นเครื่องหมายของพิธีปัสกาติดไว้ที่หน้าบ้าน จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกของพิธีนี้
พิธีปัสกา มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เนื่องจากในเทศ กาลดังกล่าว มีข้อกำหนดที่ให้รับประทานขนมปังไร้เชื้อ เป็นเวลา 7 วัน ทั้งนี้เพื่อเป็นเครื่องรำลึกว่า พระเจ้าทรงเลือกอิสราเอล เป็นชนชาติบริสุทธิ์ของพระเจ้า ไม่ปะปนกับชนชาติ หรือ เชื้อชาติอื่น และกำหนดให้ชาวต่างชาติที่ต้องการเข้าร่วมพิธีปัสกา ต้องผ่านพิธีเข้าสุหนัตก่อน เพื่อแสดงถึงการเป็นชนชาติของพระเจ้า
ในหนังสืออพยพ พระเจ้าทรงให้อิสราเอล กินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลา 7 วัน โดยเริ่มจากเย็นวันที่ 14 ของเดือนแรก ไปจนกร ะทั่งเย็นวันที่ 21 ของเดือนดังกล่าว จะต้องปัดกวาดบ้าน ให้ปราศจากเชื้อใดใด หากผู้ใดรับประทานขนมปังที่มีเชื้อในช่วงเวลาดังกล่าว จะถูกอัปเปหิออกจากชุมชน และในวันที่ 7 กำหนดให้เป็นวันเฉลิมฉลองบริสุทธิ์ของพระเจ้า
พิธีปัสกาในศาสนายูดาย
พิธีปัสกา เป็นหนึ่งในสามเทศกาลของชาวยิว ซึ่งชาวยิวจะเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อร่วมพิธีเฉลิมฉลองนี้

ภัยพิบัติในพระธรรมอพยพ
ภัยพิบัติจากโลหิต
ด้วยองค์ฟาโรห์ ทรงไม่ใส่ใจต่อการเข้าเฝ้าครั้งแรกของ โมเสส และ อาโรน พระเจ้าจึงทรงให้ทั้งสองเข้าเฝ้าฟาโรห์อีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อสำแดงภัยพิบัติครั้งแรกแก่อียิปต์เช้าวันรุ่งขึ้น โมเสส และ อาโรน จึงไปเข้าเฝ้าองค์ฟาโรห์ ณ ริมแม่น้ำไนล์ โดยอาโรนได้นำไม้เท้าไปด้วย โมเสส จึงแจ้งแก่ฟาโรห์ให้ปล่อยชนชาวอิสราเอล หากไม่เช่นนั้น พระเจ้าจะทรงกระทำให้แม่นำ ลำคลอง และบึงต่าง ๆ กลายเป็นโลหิต ปลาในแม่น้ำจะตาย และชาวอียิปต์จะดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์ไม่ได้ แต่ฟาโรห์ก็ไม่สนพระทัยต่อคำพูดของทั้งสองพระเจ้าทรงสั่งให้อาโรน ยกไม้เท้าขึ้นตีน้ำในแม่น้ำไนล์ ต่อพระพักตร์ฟาโรห์ และบรรดาข้าราชบรพาร น้ำในแม่น้ำไนล์ก็กลายเป็นโลหิต ปลาในแม่น้ำก็ตายสิ้น และน้ำนั้นก็ดื่มกินไม่ได้ แต่เหล่าบรรดาวิทยากลของอียิปต์ ก็สามารถกระทำกลเช่นนี้ได้เช่นกัน องค์ฟาโรห์จึงยังทรงไม่เชื่อทั้งสอง ดังนั้นชาวอียิปต์จึงต้องขุดบ่อเพื่อหาน้ำดื่ม เนื่องจากดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์ไม่ได้
ภัยพิบัติจากกบ
หลังภัยพิบัติแรกผ่านไป 7 วัน พระเจ้าจึงทรงใช้ให้ โมเสส และอาโรน ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์อีกครั้ง แจ้งแก่องค์ฟาโรห์ให้ปล่อยชาวอิสราเอลไปเสีย มิฉะนั้นพระเจ้าจะทรงให้ฝูงกบจะเต็มแม่น้ำไนล์ ขึ้นมาจนเต็มแผ่นดินอียิปต์ แต่องค์ฟาโรห์ก็มิได้สนใจ พระเจ้าจึงให้อาโรนชูไม้เท้าเหนือแม่น้ำ ฝูงกบก็พากันขึ้นมาจากแม่นำไนล์จนเต็มแผ่นดิน แต่เหล่านักแสดงกล ก็สามารถแสดงกลเรียกกบขึ้นมาจากแม่น้ำได้ด้วยเช่นกันแต่เมื่อฝูงกบอยู่กันเต็มเมือง องค์ฟาโรห์จึงเรียก โมเสส และ อาโรน เข้าพบ และให้สัญญาหากทั้งสอบทูลต่อพระเจ้าให้ฝูงกบไปเสียจากแผ่นดินอียิปต์ องค์ฟาโรห์ จะยอมให้ชาวอิสราเอลออกเดินทางได้ในวันรุ่งขึ้น โมเสส จึงร้องทูลพระเจ้า และฝูงกบก็พากันตายสิ้นทั้งแผ่นดิน
ภัยพิบัติจากริ้น
ครั้นเมื่อฝูงกบตายเสียสิ้น ความเดือดร้อนก็บรรเทาไปแล้ว องค์ฟาโรห์จึงทรงไม่ปฏิบัติตามคำสัญญาที่จะให้อิสราเอลออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าจึงให้ โมเสส และอาโรน เข้าเฝ้า ฟาโรห์ และให้อาโรนเอาไม้เท้าตีฝุ่นดิน ให้กลายเป็นริ้นทั่วประเทศอียิปต์ครั้งนี้เหล่านักแสดงกลของฟาโรห์ ไม่สามารถแสดงกลทำให้ฝุ่นกลายเป็นริ้นได้ จึงทูลต่อฟาโรห์ว่า "นี่เป็นกิจการแห่งนิ้วพระหัตถ์พระเจ้า" แต่ฟาโรห์ก็มิได้สนพระทัย
วันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงให้โมเสสไปรอพบฟาโรห์ ที่ริมแม่น้ำไนล์ และทูลต่อพระองค์ว่า หากไม่ทรงอนุญาตให้อิสราเอลออกไปนมัสการพระเจ้า ณ ถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าก็จะทรงบันดาลให้ฝูงเหลือบอยู่เต็มประเทศอียิปต์ ยกเว้นแต่เมืองโกเชนที่ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ จะไม่มีเหลือบเข้าไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของอิสราเอลองค์ฟาโรห์ทรงไม่ยอมเช่นเดิม พระเจ้าจึงทรงให้ฝูงเหลือบบินเต็มทั่วเมืองอียิปต์ ยกเว้นแต่เมืองโกเชนฟาโรห์จึงทรงให้เรียน โมเสส และอาโรน มาพบ และรับสั่งให้ อิสราเอล ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าในแผ่นดินอียิปต์ มิให้ออกไปนอกเมือง แต่โมเสสทูลแย้งว่า การถวายเครื่องบูชาของอิสราเอลจำเป็นต้องฆ่าสัตว์ต้องห้ามของอียิปต์ จึงจำเป็นต้องไปกระทำในถิ่นทุรกันดารองค์ฟาโรห์จึงว่า "เราจะปล่อยพวกเจ้าไป เพื่อจะได้ถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าของเจ้าในถิ่นทุรกันดาร แต่ว่าพวกเจ้าอย่าไปให้ไกลนัก จงวิงวอนเพื่อเราด้วย" โมเสสจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าให้ฝูงเหลือบไปจากแผ่นดินอียิปต์
ภัยพิบัติที่เกิดกับฝูงสัตว์
เมื่อสิ้นฝูงเหลือบ องค์ฟาโรห์ก็ทรงละเลยต่อสัญญาของพระองค์อีกครั้ง พระเจ้าจึงทรงให้โมเสสเข้าไปทูลต่อฟาโรห์ว่า หากพระองค์ไม่ยอมปล่อยคนของพระเจ้าไปนมัสการพระองค์ พระเจ้าจะทรงกระทำให้ฝูงสัตว์ของอียิปต์ ทั้งม้า ลา อูฐ โค แพะ และแกะ เป็นโรคระบาดร้ายแรง และยกเว้นฝูงสัตว์ของคนอิสราเอลที่จะไม่เป็นโรค โดยกำหนดโรคระบาด คือ วันถัดไปแต่องค์ฟาโรห์ ก็มิได้สนพระทัย วันรุ่งขึ้นฝูงสัตว์ของอียิปต์ก็พากันตายหมด เหลือเพียงฝูงสัตว์ของอิสราเอล แต่ฟาโรห์ก็ยังไม่ทรงปล่อยชาวอิสราเอลออกไป
ภัยพิบัติจากฝี
พระเจ้าทรงให้ โมเสส กำเขม่าจากเตาไฟเต็มฝ่ามือ ไปเข้าเฝ้า ฟาโรห์ และเมื่ออยู่ต่อหน้าฟาโรห์ ก็ซัดเขม่านั้นออกไป เขม่านั้นก็กลายเป็นฝุ่นกระจายไปทั่วอียิปต์ ทำให้ชาวอียิปต์กลายเป็นฝีแตกลามทั้งตัว รวมไปถึงเหล่านักแสดงกลของฟาโรห์ ก็เป็นฝีทั่วตัวด้วยเช่นกัน แต่องค์ฟาโรห์ก็ไม่ยอมปล่อยอิสราเอลออกไป
ภัยพิบัติจากลูกเห็บ
พระเจ้าทรงให้โมเสสเข้าเฝ้าฟาโรห์แต่เช้า และทูลต่อพระองค์ว่า หากฟาโรห์ไม่ยินยอมปล่อยชาวอิสราเอลไป วันรุ่งขึ้น พระเจ้าจะให้มีลูกเห็บตกลงทั่วแผ่นดินอียิปต์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเตือนให้ผู้คนและสัตว์ทั้งหลายหลบอยู่ในที่กำบัง มิฉะนั้นจะโดนลูกเห็บเสียชีวิต
เหล่าข้าราชบริพารส่วนใหญ่ก็เกรงกลัว จึงได้นำฝูงสัตว์หลบในที่กำบัง และเมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้มีลูกเห็บ และฟ้าร้อง ลูกเห็บที่ตกลงในแผ่นดินอียิปต์ครั้งนั้นนับว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุด จึงทำลายพืชผลของอียิปต์ทั้งแผ่นดิน ยกเว้นแต่ในเมืองโกเชนที่อิสราเอลอาศัยอยู่ ไม่มีลูกเห็บตกเลย
ฟาโรห์จึงทรงให้คนไปตามโมเสส และอาโรนมา แจ้งว่า "ครั้งนี้เราทำบาปแน่แล้ว พระเจ้าเป็นฝ่ายถูก เราและชนชาติของเราผิด..." แต่โมเสสก็ทราบว่าที่ฟาโรห์กล่าวเช่นนั้นมิได้ยำเกรงพระเจ้าจริง แต่เมื่อโมเสสออกจากเข้าเฝ้าฟาโรห์ ก็ทูลขอต่อพระเจ้าให้ลูกเห็บหยุดตก ฟาโรห์ก็ยังคงแข็งขืน มิยอมให้อิสราเอลออกจากอียิปต์ไป
ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน
พระเจ้าก็ทรงให้ โมเสส และอาโรน เข้าเฝ้าฟาโรห์ อีกครั้ง แจ้งว่าครั้งนี้ พระเจ้าจะทรงให้เกิดฝูงตั๊กแตนเข้าทำลายพืชผลที่เหลือรอดจากลูกเห็บเสียสิ้น บรรดาข้าราชบริพารจึงพากันทูลขอให้ฟาโรห์ปล่อยพวกเขาไปฟาโรห์จึงให้โมเสส และอาโรน นำอิสราเอลไปนมัสการพระเจ้าได้ แต่ให้นำไปได้เฉพาะผู้ชาย แต่ผู้หญิงต้องอยู่ในอียิปต์ ดังนั้นเมื่อโมเสสกลับจากเข้าเฝ้า พระเจ้าจึงทรงให้มีฝูงตั๊กแตนจำนวนมากเข้าทำลายพืชผลทั่วแผ่นดินอียิปต์ฟาโรห์จึงให้เรียก โมเสส และอาโรนมาเฝ้า และขอให้ทูลต่อพระเจ้าให้ไล่ฝูงตั๊กแตนไปเสีย โมเสสก็ทูลขอต่อพระเจ้า แต่ฟาโรห์ก็เปลี่ยนพระทัย ไม่ยอมให้อิสราเอลออกไปจากอียิปต์อีก
ต่อมาพระเจ้าจึงทรงทำให้ท้องฟ้าเหนือแผ่นดินอียิปต์มืดไป เป็นเวลา 3 วัน ชาวเมืองไม่สามารถไปไหนได้ เพราะมองไม่เห็น ยกเว้นแต่เมืองที่ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ที่มีแสงสว่าง ฟาโรห์จึงให้ตามต้ว โมเสส และอาโรน มา แจ้งว่าจะทรงอนุญาตให้นำผู้คนได้นนัสการพระเจ้าได้ทุกคน แต่ไม่ทรงอนุญาตให้นำฝูงสัตว์ไป โมเสสจึงแจ้งว่า "ต้องโปรดประทานให้มีเครื่องสัตวบูชา และเครื่องเผาบูชาติดมือไปด้วย...ข้าพระบาทต้องนำฝูงสัตว์ไปด้วย ขาดไม่ได้สักกีบเดียว..." องค์ฟาโรห์จึงทรงพิโรธ ขับไล่ทั้งสองออกไป และกล่าวว่า "อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีกเลย เพราะถ้าเจ้าเห็นหน้าเราวันใด เจ้าจะต้องตายวันนั้น"
นี่เป็นภัยพิบัติสุดท้ายที่พระเจ้าทรงกระทำต่ออียิปต์ และเป็นภัยพิบัติที่เป็นเหตุให้องค์ฟาโรห์ต้องอนุญาตให้อิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ไปได้ และภัยพิบัตินี้ ก็เป็นที่มาของพิธีปัสกา หนึ่งในพิธีศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวมาจนทุกว้นนี้ก่อนที่พระเจ้าจะทรงประทานภัยพิบัตินี้ พระเจ้าทรงให้โมเสสไปรวบรวมคนอิสราเอล จัดเก็บทรัพย์สิ่งของ และฝูงสัตว์เพื่อเตรียมเดินทางออกจากอียิปต์ และโมเสสก็แจ้งว่าในคืนนั้น พระเจ้าจะทรงออกไปท่ามกลางอียิปต์ และนำบุตรหัวปีของอียิปต์ ตั้งแต่ราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ จนถึงบุตรหัวปีของเหล่าทาส สัตว์เลี้ยงไปเสียสิ้นทั้งแผ่นดินอียิปต์ แต่จะไม่ทรงแตะต้องคนอิสราเอลเลยก่อนถึงเวลาเที่ยงคืน โมเสสให้อิสราเอลถือพิธีปัสกา เพื่อเป็นเครื่องหมายให้พระเจ้าทรงทราบว่าบ้านหลังใดเป็นของอิสราเอล จะได้ทรงผ่านไปเสีย และเมื่อเวลาเที่ยงคืน คืนนั้นก็เกิดภัยพิบัติสุดท้ายแก่อียิปต์ ทุกบ้านต่างเสียบุตรชายหัวปีไปเสียสิ้น ฟาโรห์และชาวอียิปต์ทั้งสิ้นจึงต่างเร่งรัดให้อิสราเอลทั้งผู้คน สัตว์เลี้ยง และทรัพย์สิ่งของออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ รวมเวลาที่อิสราเอลอยู่ในอียิปต์เป็นเวลา 430 ปี คนอิสราเอลที่ออกเดินทางจากอียิปต์มีจำนวนนับเฉพาะผู้ชาย ได้ประมาณ หกแสนคน เป็นอันจบภัยพิบัติที่มีต่ออียิปต์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของชนชาติอิสราเอล
การเตรียมการฉลองปัสกา
พระเยซูกับสาวกของพระองค์ได้เดินทางมาหลายวันแล้วมุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อเตรียมฉลองปัสกา สาวกของพระองค์ได้คิดไว้แล้วว่าจะร่วมฉลองปัสกากับพระองค์ ในเวลาเดียวกันพระเยซูได้เตรียมการไว้พร้อมแล้วโดยที่สาวกไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนเลย พระคัมภีร์ได้บอกเราว่าพระเยซูมีความร้อนรนที่จะฉลองปัสการ่วมกับสาวกของพระองค์ ผู้คนหลายพันคนได้แห่กันไปที่กรุงเยรูซาเลมเพื่อร่วมฉลอง และเพราะว่าพระองค์เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี ทุกคนจึงอยากมาหาพระองค์ พระคัมภีร์ได้บอกเราว่า “เพราะว่าคนทั้งปวงชอบฟังพระองค์มาก” (ลูกา 19.48) และ “คนทั้งปวงมาหาพระองค์ในบริเวณพระวิหารแต่เช้าตรู่เพื่อจะฟังพระองค์” (ลูกา 21.38).
การฉลองดั้งเดิม

จารีตที่มีการเตรียมการ

พระเยซูในกรุงเยรูซาเล็ม
ห้อง “รับแขก”
นักเทววิทยาบางท่านคิดว่าเปโตรและยอห์นคอยอยู่ที่กำแพง Sion Quarter ตามตำนานมีอยู่ว่า เป็นถนนที่ลงสู่บ่อน้ำโบราณ บ่อน้ำนั้นถือว่าเป็นบ่อน้ำที่สะอาดที่สุดในกรุงเยรูซาเล็ม น้ำนั้นเหมาะที่จะเอามาทำขนมปังไร้เชื้อที่ใช้ในพิธีปัสกา โดยทั่วไปผู้หญิงจะแบกน้ำ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการง่ายที่จะสังเกตเห็นผู้ชายกำลังกลับจากบ่อน้ำ ยอห์น ผู้ทีพระเยซูรักและไว้วางใจที่สุด จึงจำชายผู้นั้นได้ทันที สาวกของพระองค์จึงตามเขาไปยังห้องใหญ่ชั้นบนศัพท์ที่ใช้เรียกชื่อห้อง ห้องที่ใช้ทำปัสกาเรียกว่า kataluma เป็นคำที่มีใจความกว้างกว่าคำว่า “ห้องรับแขก” และใช้กันทั่วไปเพื่อบ่งชี้ถึงสถานแห่งความเมตตาสำหรับผู้เดินทาง บ้านในกรุงเยรูซาเล็มมักจะมีห้องสร้างขึ้นเป็นชั้นที่ 2 ของบ้าน และจะมีทางขึ้นบรรไดไปจากลานบ้านภายใน และห้องนั้นแหละที่เขาเรียว่า kataluma ห้องชั้นบนของบ้านหลังนั้นที่อยู่ในเมืองเป็นที่ๆพระเยซูเจ้าใช้โดยนั่งที่โต๊ะพร้อมกับสาวกของพระองค์
ปัสกาและศีลมหาสนิท
พระเยซูเจ้าทรงเลี้ยงอาหารปัสกาในโอกาสตั้งศีลมหาสนิทด้วยการจงใจเพื่อที่จะร่วมอาหารมื้อสุดท้ายและการตั้งศีลมหาสนิทเป็นครั้งแรก ด้วยวิธีนี้เอง ปัสกาจึงเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงระหว่างพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ และด้วยเหตุนี้เองเราซึ่งอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่สามารถอ้างอิงไปถึงใจกลางของพิธีกรรมคริสตชนเป็นเสมือน “ธรรมล้ำลึกปัสกา”ในวันสมโภชปัสกาครั้งแรก พระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยชีวิตมนุษน์ให้พ้นจากความตาย ในการเฉลิมฉลองชาวยิวได้กระทำพิธีระลึกอันยิ่งใหญ่เป็นการกระทำเพื่อความรอด ในปัสกาวันสุดท้ายของพระองค์ พระเยซูได้ช่วยให้คนทั่วโลกรอดพ้นจากความตาย ในการฉลองอาหารค่ำของพระองค์ ในวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ คริสตชนถือเอาวันนี้ทำการสมโภชเพื่อระลึกถึงการมอบพระองค์อย่างสากลปัสกาครั้งแรกเป็นการแสดงถึงพันธสัญญาที่ภูเขาซีนายและการสร้างชนชาติอิสราเอลใหม่อาหารค่ำของพระองค์แสดงถึงการฉลองพันธสัญญาใหม่และการสร้างคริสตชน
การดำเนินปัสกาต่อไป
เทศกาลปัสกา
ในเทศกาลนี้ เราฉลองการกลับคืนชีพของพระเยซู ซึ่งเป็นจุดกลางและหัวข้อสำคัญที่สุดแห่งความเชื่อของคริสตชน พิธีสำคัญพิธีหนึ่งที่เราทำกันในคืนก่อนวันปัสกา คือ การโปรดศีลล้างบาปให้แก่คริสตชนใหม่ และเป็นการรื้อฟื้นการปฏิญาณแห่งศีลล้างบาปของเราพวกเราส่วนมากได้รับศีลล้างบาปเวลาที่ยังเป็นเด็ก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่รู้ตัว และโดยไม่มีส่วนตั้งใจที่จะเลือกพระเยซูเป็นพระเจ้าของเรา ดังนั้น จึงเป็นของธรรมดาเมื่อเวลาเราเป็นผู้ใหญ่ก็อาจจะคิดว่า “ทำไมฉันจึงเป็นคริสตชน และทำไมฉันจึงต้องเลือกแนวทางดำเนินชีวิตแบบพระเยซู” คืนวันปัสกานี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะรื้อฟื้นความเชื่อของเราใหม่ในพระเยซู และปฏิญาณว่าเราจะร่วมกับพระองค์ในการดำเนินชีวิตตามแบบฉบับของพระวรสารเทศกาลปัสกานี้เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ปัสกาถึงวันสมโภชพระจิตเจ้า ซึ่งเป็น 7 อาทิตย์หลังวันอาทิตย์ปัสกาพอดี วันสมโภชพระจิตเจ้านี้ ในภาษาโบราณเรียกว่า วันเปนเตกอสเต ซึ่งเป็นคำภาษากรีกแปลว่า “ที่ห้าสิบ” เพราะเป็นวันฉลองของชาวยิวอีกวันหนึ่งหลังวันปัสกา 50 วัน ในโอกาสนี้ เขาถวายผลแรกของฤดูเก็บเกี่ยวข้าวแก่พระเจ้าเพื่อขอบพระคุณพระเจ้า เพราะแผ่นดินที่พระองค์ทรงมอบให้แก่พวกเขาตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ ตามที่ลูกาเล่าในหนังสือ กิจการอัครสาวกนั้น เป็นวันนั้นเองที่พระจิตเจ้าได้เสด็จลงมาเหนืออัครสาวก (กจ 2 : 1) ประทานสติปัญญาให้เข้าใจเรื่องราวของพระเยซูเจ้า และประทานกำลังใจเพื่อเขาจะได้กล้าเป็นประจักษ์พยานประกาศข่าวดีถึงพระองค์ วันสมโภชพระจิตเจ้าเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลมหาพรตและปัสกานี้
วันอาทิตย์ทุกสัปดาห์เป็นวันที่เราระลึกถึงการกลับคืนชีพของพระเยซู เช่นนี้จึงเป็นวันระลึกถึงวันปัสกา วันอาทิตย์จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเยซูผู้ทรงชีวิตและกับพี่น้อง เพื่อเราจะได้เป็นพยานถึงพระองค์ด้วยความรัก การเสียสละ และความรับผิดชอบต่อสังคมในชีวิตประจำวันของเรา ทั้งด้วยคำพูดและด้วยการกระทำ โดยนัยนี้เองที่การฉลองเทศกาลมหาพรตและเทศกาลปัสกาจะมีความหมายในชีวิตของเราอย่างแท้จริง
พระศาสนจักรคาทอลิกใช้เทียนปัสกาเป็นสัญลักษณ์ถึง แสงสว่างของพระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ กำหนดให้ตั้งเทียนปัสกาใกล้พระแท่น และต้องจุดในพิธีทุกครั้งในเทศกาลปัสกา จนถึงวันสมโภชพระจิตเจ้า
สมณกระทรวงจารีตพิธีกรรม ได้ออกคำแนะนำ (16 มกราคม 1988) เรื่องเทศกาลมหาพรตและการเตรียมสมโภชปัสกา คุณพ่อทัศไนย์ คมกฤส ได้แปลเป็นภาษาไทยพ่อขอนำคำสอนเกี่ยวกับเทศกาลปัสกามาบางประการ ดังนี้
การเฉลิมฉลองปัสกายึดเวลาต่อไปตลอดเทศกาลปัสการะยะเวลา 50 วัน ตั้งแต่สมโภชปัสกาถึงวันสมโภชพระจิตเจ้า นับได้ว่าเป็น “วันฉลองวันเดียว” เป็นประหนึ่ง “วันอาทิตย์ใหญ่” “Great Sunday” หรือ “Week of weeks” (ข้อ 100)
สำหรับผู้ใหญ่ที่ร่วมพิธีรับเข้าเป็นคริสตชนในคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ เทศกาลปัสกาทั้งหมดเป็นช่วงเวลาที่จะเรียนคำสอนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น (Mystagogical catechesis) เพราะฉะนั้น ในวัดที่มีคริสตชนใหม่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดไว้ในพิธีรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชน ข้อ 37-40 และ 235-239 ตลอดอัฐมวารปัสกา (8 วันแรกของเทศกาลปัสกา) ทุกๆ แห่งต้องมี “บทสวดอ้อนวอน” สำหรับผู้ที่เพิ่งรับศีลล้างบาปในบทขอบพระคุณของมิสซา (ข้อ 102)
ตลอดเทศกาลปัสกา ควรจัดที่พิเศษไว้ในวัดสำหรับผู้รับศีลล้างบาปใหม่ ผู้ที่รับศีลล้างบาปใหม่ทุกคนต้องพยายามมาร่วมพิธีพร้อมกับพ่อแม่ทูนหัว และใน “บทภาวนาเพื่อมวลชน” ควรมีการกล่าวถึงพวกเขาด้วย (ข้อ 103)
ในเทศกาลปัสกา พระสงฆ์ผู้อภิบาลควรสั่งสอนสัตบุรุษให้เข้าใจความหมายของพระบัญญัติพระศาสนจักร เรื่องการรับศีลมหาสนิทในเทศกาลปัสกาด้วย (ข้อ 104)
ธรรมเนียมการเสกบ้านในเทศกาลปัสกา ต้องทำหลังวันปัสกาไม่ใช่ก่อน เป็นการเยี่ยมเยียนสัตบุรุษไปด้วย (ข้อ 105)
ในสถานที่หรือชุมชนหลายแห่ง อาจมีกิจศรัทธาแบบชาวบ้านที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลปัสกา ซึ่งในบางโอกาสอาจดึงดูดประชาชนมาร่วมได้มากกว่าพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ควรคิดว่ากิจศรัทธาเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ เพราะบ่อยๆ กิจศรัทธาเหล่านี้เหมาะกับความรู้สึกนึกคิดของสัตบุรุษ สภาพระสังฆราชและประมุขท้องถิ่นควรดูแลให้กิจศรัทธาเช่นนี้ ซึ่งส่งเสริมความศรัทธาของสัตบุรุษได้ดี ได้มีความกลมกลืนเข้ากับพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีจิตตารมณ์ของพิธีกรรมอย่างเห็นได้ชัดเจนขึ้น ในแบบที่ว่าเป็นการต่อเนื่องจากพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ หรือช่วยนำให้ร่วมพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ได้ดีขึ้น (ข้อ 106)
ช่วงเวลา 50 วันนี้ จบลงในวันอาทิตย์เปนเตกอสเต (วันที่ 27 พฤษภาคม) ซึ่งเป็นโอกาสที่พระศาสนจักรระลึกถึงพระพรที่พระจิตเจ้าประทานแก่บรรดาอัครสาวก การเริ่มต้นของพระศาสนจักร และการเริ่มงานธรรมทูตไปสู่ชนชาติและภาษาต่างๆ (ข้อ 107)
“การฉลองปัสกามีเอกลักษณ์พิเศษที่ทั่วพระศาสนจักรมีความยินดีที่ได้รับอภัยบาป ไม่เพียงแต่สำหรับผู้ที่บังเกิดใหม่ด้วยศีลล้างบาปเท่านั้น แต่ยังสำหรับผู้ที่เป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้าตั้งแต่นานมาแล้วด้วย” อาศัยความเอาใจใส่อย่างเข้มข้นยิ่งขึ้นต่องานอภิบาลและความพยายามให้มีชีวิตจิตลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทุกคนที่เฉลิมฉลองสมโภชปัสกาย่อมได้รับพระหรรษทานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า และรับผลจากการเฉลิมฉลองเหล่านี้ในชีวิตประจำวันมากยิ่งๆ ขึ้น (ข้อ 108)
ไข่อีสเตอร์ ไข่ปัสกา Easter Egg
ไข่เกี่ยวข้องอะไรกับปัสกา และมีความหมายอย่างไร ทำไมจึงแจกไข่ในวันปัสกา ไข่อีสเตอร์เป็นไข่พิเศษที่เรามักจะได้รับในวันฉลองอีสเตอร์ หรือวันปัสกา หรือฤดูใบไม้ผลิ
ประเพณีที่เก่าแก่ที่สุดคือการใช้ไข่ไก่ย้อมหรือทาสี แต่ที่กำหนดเองที่ทันสมัยคือ การทดแทนไข่ด้วยช็อคโกแลต หรือไข่พลาสติกที่เต็มไปด้วยขนม เช่น ถั่วเยลลี่
ในเช้าวันปัสกา เขาก็จะเอาไข่เหล่านี้ไปซ่อน แล้วให้เด็กๆ หา ซึ่งไข่เหล่านี้ถูกทิ้งไว้โดยกระต่ายอีสเตอร์ นอกจากนี้อาจจะใส่ไข่ไว้ในตะกร้าที่เต็มไปด้วยฟางจริงหรือเทียม ให้คล้ายรังนก
ต้นกำเนิดและนิทานชาวบ้าน
ไข่อีสเตอร์เซอร์เบีย จักรพรรดิ Czar Alexander III ของรัสเซีย ได้มอบไข่ Fabergé ให้กับมารีย์ ภรรยาของเขา เพื่อเป็นของขวัญวันอิสเตอร์
ไข่จะถูกใช้อย่างกว้างขวางว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นของชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับชีวิตใหม่ที่โผล่ออกมาจากไข่ เมื่อแม่ไก่ฟักไข่
ชาว Zoroastrians โบราณ จะทาสีไข่ให้สวยงามเพื่อมอบให้กับกษัตริย์ Nowrooz เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่ของพวกเขา ซึ่งตรงกับฤดูใบไม้ผลิ ประเพณีการมอบไข่ให้กับกษัตริย์ Nowrooz มีประวัติอย่างน้อย 2,500 ปี ประติมากรรมบนผนังของ Persepolis แสดงถึงคนแบกไข่เพื่อมอบให้กับกษัตริย์ Nowrooz
สัญลักษณ์ของคริสตชนและการปฏิบัติ
1.คริสตชนมองว่า
ไข่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการกลับคืนพระชนมชีพ ภายในไข่นั้นมีชีวิตอยู่
2.ในพระศาสนจักรคาทอลิกตะวันออกหรือออร์โธดอก
จะทาไข่อีสเตอร์ด้วยสีแดง ซึ่งแสดงถึงโลหิตของพระคริสต์ ที่หลั่งบนไม้กางเขน
และเปลือกแข็งของไข่เป็นสัญลักษณ์หมายถึงพระคูหาที่ฝังพระศพของพระคริสต์ที่ปิดไว้อย่างสนิท
เปลือกไข่ที่แตกร้าว เป็นสัญลักษณ์หมายถึงการกลับคืนพระชนมชีพจากความตาย
3.ในคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์
พระสงฆ์จะเสกไข่ปัสกา และแจกจ่ายให้กับสัตบุรุษ นอกจากในตะกร้าจะมีไข่แล้ว
สัตบุรุษก็จะนำอาหาร หรือขนมปังอิสเตอร์มาให้พระสงฆ์เสกด้วย
นี่คือการเสกอาหารอิสเตอร์ในโปแลนด์
4.ในทำนองเดียวกัน
นิกายโรมันคาทอลิกในโปแลนด์ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ในคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์
ด้วยการตกแต่งกระเช้าไข่อิสเตอร์และอาหารอย่างอื่นที่เป็นสัญลักษณ์
สำหรับคริสตชน "ปัสกา" มีความหมายว่า เป็นการผ่านความทุกข์ สู่ความยินดีโดยอาศัยการทนทุกข์ทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนชีพของพระเยซูคริสต์ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือ การฉลองการได้รับชีวิตที่เป็นอิสระจากบาป และความตายนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก www.Bloggang.com
ขอบคุญข้อมูลจาก www.Kamsonbkk.com
ขอบคุณขอมูลจาก www.lox2.loxinfo.co.th
แหล่งข้อมูล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น